วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เทคโนโลยี H.265

HD-CVI, HDTVI, AND
H.265 คืออะไร
H.265 เป็นการบีบอัดวีดีโอรูปแบบใหม่ ที่ต่อเนื่องมาจาก H.264 ถูกพัฒนาขึ้นโดย ITU-T Video Coding Experts Group (VCEG)
22 ตุลาคม 2012 Ericsson ประกาศตัวว่าเป็นคนแรกของโลกที่เปิดตัวการเข้ารหัสแบบ H.265 ภายใต้ชื่อ High Efficiency Video Coding (HEVC) โดยหน่วยงาน ITU-T เป็นคนรับรองมาตรฐาน
H.265 กล่าวว่า สามารถบีบอัดข้อมูลได้เป็นสองเท่าของ H.264 ด้วยระดับคุณภาพของภาพเท่ากัน สามารถรองรับคุณภาพของภาพหลากหลายที่ Bit Rate เท่าๆกัน และสามารถรองรับ 8K UHD ความละเอียด 8192 x 4320
H.265 ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการบีบอัดมากกว่า H.264 โดย Bitrate ลงไปครึ่งหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการทำงานของ applicationด้วย H.265 จะลดความซับซ้อนการคำนวณการเข้ารหัสลง ทำให้บีบอัดได้ดีขึ้น ขณะที่ H.264 ส่งข้อมูลระดับ SD ที่ 1Mbps แต่ H.265 สามารถส่งข้อมูลได้ถึง 720P หรือ (1280 x 720) และ HD ที่ 1-2Mbps
บริษัท ใหญ่ฝั่ง IT เช่น Qualcomm Broadcom และ Huawei ได้ออก Products ที่เป็น H.265 ซึ่งหวังว่าจะมาแทนที่ H.264 และจะเป็นมาตรฐานระดับสากลต่อไป
H.265 ทำไมถึงเหนือกว่า H.264?
การเข้ารหัสของ H.265/HEVC จะ มีลักษณะคล้ายๆ กันกับ H.264/AVC ที่มี inter-/ intra-picture prediction, transform coding, quantization, deblocking filter, and entropy coding แต่ H.265/HEVC จะประกอบด้วย หน่วย โค๊ดดิ่ง coding units (CUs), หน่วยการคาดการณ์ predict units (PUs) และหน่วยการเปลี่ยนถ่าย transform units (TUs).
เปรียบ เทียบระหว่าง H.264 กับ H.265 มีกระบวนการที่แตกต่างกันในการแบบอัด ที่จำนวน Block H.264 จะใช้อยู่ที่ 16x16 pixel ขณะที่ H.265 จะสามารถเลือกจาก 8x8, 16x16 ถึง 64x64 pixels. ส่วนที่วิเคราะห์ว่าอะไรที่จะแบ่ง CUs ออกเป็นหลายขนาดนั้นตัวอย่างเช่น ตัวของรถในที่จอดรถ การเข้ารหัสจะใช้ Block ที่ใหญ่ในการเข้ารหัสพื้นหลัง (Background) ที่จะบรรจุข้อมูลจำนวนน้อย
H.265 จะใช้โหมดการกำหนดทาง 33 directional modes สำหรับการคาดคะเน (intra-prediction), เปรียบเทียบกับ H.264 จะใช้โหมดการกำหนดทิศทางเพียง 8 directional modes สำหรับการคาดคะเน intra-prediction ที่คุณภาพภาพเหมือนกัน H.265 จะบีบอัดได้ถึง 39 to 44% เทียบกับH.264. ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกัน
มาตรฐาน การบีบอัดวิดีโอต่าง ๆ ย่อมมีเป้าหมายเพื่อให้มีอัตราการบีบอัดข้อมูลสูงๆ นั่นคือใช้อัตราบิตน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษาคุณภาพระดับเดิมไว้ได้ โดยวิธีการวัดประสิทธิภาพการเข้ารหัสของแต่ละมาตรฐานนั้นมีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือใช้ตัวชี้วัด เช่น peak signal-to-noise ratio (PSNR) วิธีที่สองคือประเมินจากคุณภาพของวิดีโอซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมมากกว่า เนื่องจากเป็นสิ่งผู้ชมวิดีโอสัมผัสได้จริง
เปรียบเทียบมาตรฐานการเข้ารหัสวีดีโอ โดยมีค่า PSNR เท่ากัน
มาตรฐานการเข้ารหัส อัตราบิตลดลงโดยเฉลี่ยเมื่อเปรียบเทียบกับ
H.264/MPEG-4 AVC HP MPEG-4 ASP H.263 HLP H.262/MPEG-2 MP
HEVC MP
35.4%
63.7%
65.1%
70.8%
H.264/MPEG-4 AVC HP
-
44.5%
46.6%
55.4%
MPEG-4 ASP
-
-
3.9%
19.7%
H.263 HLP
-
-
-
16.2%
 
Info Graphic แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง H.264 และ H.265
 
อนาคตของ H.265
งาน CPSE ในปี 2013 บริษัท Hisilicon และ Grain Media ได้เริ่มต้นเปิดตัว การพัฒนา H.265 ที่สร้างการยอมรับและความประทับใจให้กับผู้เข้าชมที่มองเห็นความเป็นไปได้ มาก และในปีนี้เอง ปี 2014 บริษัท Hisilicon ได้เปิดตัว Chipset H.265 Code Name Hi3516A ซึ่งรองรับการแบบอัดอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามความท้าทายยังคงอยู่ที่ความซับซ้อนของการนำ H.264 มาผนวกเข้าไปกับอุปกรณ์ และเรื่องราคากับคุณสมบัติของสินค้าที่ไม่ค่อยจะตอบโจทย์เท่าไหร่แต่อีกไม่ นานก็จะเข้ามาแทนที่ H.264 ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี และจะถูกใช้อย่างแพร่หลายต่อไป
ที่มา
เรียบเรียงแปลและดัดแปลง โดย Ton Zynek
วันที่ลงบทความ 3 ธันวาคม 2557
 
 

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

IMAP กับ POP3

IMAP กับ POP3 อย่างไหนดีกว่ากัน ?
เมื่อเรามีเว็บไซท์ของตัวเอง เราสามารถเปิดใช้งานอีเมล์ในชื่อโดเมนของเราได้ โดนวิธีการเช็คเมล์ จะมี 2 วิธี คือ
1. เช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น www.yourdomain.com/webmail
2. เช็คผ่านโปรแกรม Outlook

ในการเช็คเมล์ผ่านโปรแกรม Microsoft Outlook หรือ Windows Live Mail
เราจะต้อง add account โดยใส่ user, password และเลือกวิธีที่จะเช็คเมล์ว่าจะใช้ POP3 หรือ IMAP

บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่าง POP3 กับ IMAP

1. หากเราเช็คเมล์แบบ POP3 ทุกครั้งที่มีอีเมล์ใหม่ส่งมาหาเรา
โปรแกรม Outlook จะดูดอีเมล์มาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของเรา และ ลบอีเมล์ นั้นออกจาก server
2. หากเราเช็คเมล์แบบ IMAP ทุกครั้งที่มีอีเมล์ใหม่ส่งมาหาเรา
โปรแกรม Outlook จะดูดอีเมล์มาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของเรา แต่จะ ไม่ลบอีเมล์ นั้นออกจาก server

แบบไหนดีกว่ากัน ?
1. POP3 หากเรามีคอมพ์ 2 เครื่อง (ที่บ้านและที่ทำงาน) เมื่อเราเช็คเมล์ที่ทำงาน อีเมล์จะเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน เมื่อเรากลับมาบ้าน แล้วเช็คอีเมล์อีกครั้ง เราจะไม่เห็นอีเมล์ที่เราเก็บไว้ที่ทำงาน
2. IMAP หากเรามีคอมพ์ 2 เครื่อง (ที่บ้านและที่ทำงาน) เมื่อเราเช็คเมล์ที่ทำงาน อีเมล์จะเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน เมื่อเรากลับมาบ้าน แล้วเช็คอีเมล์อีกครั้ง เราจะเห็นอีเมล์เหมือนกับที่ทำงาน
เพราะ IMAP ไม่ได้ลบเมล์ออกจาก server เราจึงใช้คอมพิวเตอร์เครื่องไหนเข้าไปเช็คเมล์ก็ได้

ถ้าปัจจุบันเช็คเมล์แบบ POP3 อยู่ เปลี่ยนไปใช้แบบ IMAP ดีไหม ?
อย่าทำเด็ดขาด หากใช้ POP3 อยู่ ก็ใช้ POP3 ต่อไป หากใช้ IMAP อยู่ ก็ใช้ IMAP ต่อไป อย่าสลับกันเด็ดขาด

ตัวอย่างปัญหา 1
1. คุณใช้ POP3 อยู่ มีอีเมล์ 1000 ฉบับ เก็บไว้ใน inbox
2. ต่อมาคุณนึกเซ็ง อยากลองใช้แบบ IMAP เลยลบ account ใน outlook แล้วสร้างใหม่เป็น IMAP
3. เมื่อคุณเช็คเมล์ Outlook จะมองบน server แล้วไม่เห็นอีเมล์ฉบับไหนเลย (เพราะเคยใช้ POP3 ดูดลงเครื่องหมดแล้ว)
4. Outlook เลยทำการลบอีเมล์ในคอมพิวเตอร์ทั้งหมด (เพื่อให้ตรงกับบน server)
ดังนั้นอีเมล์ 1000 ฉบับของคุณ จึงถูกลบทั้งหมด

ตัวอย่างปัญหา 2
1. คุณใช้ IMAP อยู่ มีอีเมล์ 1000 ฉบับ เก็บไว้ใน inbox
2. ต่อมาคุณนึกเซ็ง อยากลองใช้แบบ POP3 เลยลบ account ใน outlook แล้วสร้างใหม่เป็น POP3
3. เมื่อคุณเช็คเมล์ Outlook จะมองบน server แล้วเห็นอีเมล์จำนวนมาก จึงดูดลงมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
4. อีเมล์ของคุณจึงอยู่ครบ (แต่บน server ถูกลบหมด)

ขอแบบฟันธงหน่อย แบบไหนดีกว่ากัน ?
คำตอบคือ IMAP ครับ
1. เพราะเราสามารถใช้คอมที่บ้าน หรือที่ทำงานเข้าเช็คเมล์ก็ได้ ใช้มือถือเข้าเช็คก็ได้
ถ้า notebook เสีย เราก็ใช้เครื่องอื่นเข้าไปเช็คเมล์ได้ เพราะเมล์จะเก็บไว้บน server เสมอ
2. hosting ส่วนใหญ่จะมีบริการ backup ข้อมูลเว็บไซท์และอีเมล์ บางเจ้าจะ backup ให้ทุกวัน บางเจ้าก็สัปดาห์ละครั้ง หากเราเผลอลบอีเมล์ของเราทั้งหมด โดยไม่ตั้งใจ
เราอาจขอให้ผู้ให้บริการ hosting ช่วยดูให้หน่อย ว่าได้ backup อีเมล์ของเราไว้ไหม
ถ้าเขามี backup ไว้ เราก็สามารถกู้ขึ้นมาได้
ไม่เหมือนกับ POP3 ซึ่งอีเมล์ถูกดูดลงคอมพ์ไปแล้ว หากเราเผลอลบ เราจะไปดูบน server ไม่ได้ (เพราะไม่มี)

POP3 มีข้อดีกว่า IMAP บ้างไหม ?
มีครับ ช่วยให้ไม่ต้องเก็บอีเมล์ไว้บน server จำนวนมาก (เพราะเราดูดลงเครื่องหมดแล้ว)

ใช้ IMAP มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?
1. จำไว้ว่า หากเราลบเมล์ใน Outlook อีเมล์บน server จะถูกลบไปด้วย
(และถ้าเราลบอีเมล์บน server อีเมล์ใน Outlook ก็จะถูกลบไปเหมือนกัน)
เช่น เราลบเมล์ด้วยคอมที่ทำงาน เมื่อเราใช้คอมที่บ้านเปิดดู อีเมล์ฉบับนั้นก็จะถูกลบไปด้วย
2. ไม่ควรเก็บเมล์ไว้จำนวนมากเกินไป (เกิน 10 GB)
เพราะทำให้เปลืองพื้นที่บน server และใช้เวลา backup นาน
ดังนั้น อีเมล์เก่าๆที่ไม่สำคัญแล้ว หรือมีไฟล์แนบขนาดใหญ่เกินไป ก็ควรจะลบๆออกไปบ้าง

ถ้าใช้ POP3 อยู่ จะเปลี่ยนไปใช้ IMAP ต้องทำยังไงให้อีเมล์ไม่ถูกลบไปทั้งหมด ?
1. copy อีเมล์ไปไว้ในอีกชื่อนึง
สมมติว่าอีเมล์เดิมของคุณคือ super@man.com
ให้คุณสร้าง account ใหม่ขึ้นมาชื่อ super1@man.com
ในโปรแกรม Outlook เรา add ไว้ทั้ง 2 account
เราสามารถลากแล้ววาง อีเมล์จาก account หนึ่ง ไปยังอีก account หนึ่งได้
โดยอีเมล์จะถูกย้ายจาก account นึง ไปอีก account นึง
ยกเว้นเราจะกด Ctrl ค้างไว้ อีเมล์จะถูก copy แทนการย้าย ทำให้ยังมีอีเมล์อยู่ทั้ง 2 account
2. ลบ account ใน outlook แล้ว add ใส่ outlook ใหม่โดยกำหนดเป็น imap
เมื่อเราได้ copy อีเมล์เก็บไว้ใน account ใหม่แล้ว เราก็ลบ super@man.com ออก
แล้วเพิ่ม super@man.com ใหม่ กำหนดเป็น imap
ตอนเช็คเมล์ จะปรากฏว่าเมล์หายหมด ไม่เจอเลย
แล้วเราค่อยลากแล้ววาง จาก super1@man.com มาใส่ super@man.com
แค่นี้อีเมล์ของเราก็จะอยู่ครบเหมือนเดิม
 
 

UEFI แตกต่างกับ MBR (Legacy Bios) ?

Master boot record (MBR) disks use the standard BIOS partition table. โดย Disk ประเภทนี้ก็คือ MBR เพราะ DISK BIOS จะสนับสนุนกับการลง BIOS รุ่นเก่าๆของเมนบอร์ดของเรานั้นเอง โดย ขนาดของ DISK จะไม่เกิน 2 TB

GUID partition table (GPT) disks use unified extensible firmware interface (UEFI) โดย DISK ประเภทนี้เป็นแบบ GPT จะรองรับ firmware แบบ UEFI ซึ่งถ้าตั้งใน BIOS ในเมนบอร์ดของเราให้ใช้ Boot แบบ UEFI เราจะต้องทำการ covert disk ให้เป็นแบบ GPT ก่อนถึงจะทำการลง Windows ได้ ซึ่งประเภทของ GPT ส่วนมากจะทำใน DISK ที่มีขนาดมากกว่า 2 TB ข้อดีของ DISK ประเภท GPT จะสามารถทำการแบ่ง Partition ได้มากกว่า 4 Partition ใน DISK ลูกนั้นๆ



วิธีการ convert HDD แบบ MBR เป็น GPT โดยใช้แผ่นหรือ USB Windows Setup

เมื่อบูตเข้าสู่หน้าจอ Setup กด Shift+F10 เพื่อเปิด Comand Prompt

พิมพ์คำสั่ง
 
diskpart ทำการกด Enter
list disk ทำการกด Enter    (จากนั้นดูว่ามีกี่ DISK ในคอมพิวเตอร์ของเรา ถ้ามี DISK 1ลูก มันก็จะแสดง DISK 0 แต่ถ้ามี DISK 2ลูก ก็จะแสดง DISK 0 / DISK 1 ) จากนั้นให้เราเลือกว่า DISK ไหนต้องการจะทำการ Convert จาก MBR > GPT
select disk 0  ทำการกด Enter
Clean และทำการกด Enter (อัน นี้จะเป็นการล้าง Partition ทั้งหมดนะครับของ Disk ที่เราเลือก สำหรับคนที่เคยแบ่ง Drive มาแล้วอย่าลืมทำการ Backup ก่อนลงนะ แต่ถ้าสำหรับคนที่ซื้อDISK มาใหม่จะไม่มีปัญหากับตรงนี้)
convert GPT ทำการกด Enter
จากนั้นก็กดปิดหน้าต่าง DOS มุมขวา จากนั้นก็ลง Windows ตามปกติครับ